# สำนักถ้วยจบ #
เบื้องลึก “ราคาทอง” พุ่งนิวไฮ นักลงทุนผวา เข้า SAFE HAVEN – จากไทยรัฐออนไลน์

ก่อนจะเข้าโหมตทองคำ ตลาดเมื่อคืนผันผวนทีเดียว ปรากฎว่าตัวเลขจ้างงานสหรัฐออกมาดีกว่าคาดตามลุงโด้ว่า (นิดหน่อย) เล่นเล่านักผจญดอยหน้าเเตก ดอลลาร์พุ่งกลับ ทองคำโดน Profit Taking เมื่อคืน

เมื่อดอลลาร์ดีดกลับจาก Deeply Oversold คู่เเพร์อื่นๆ ที่พุ่งทะยานมาก่อนหน้า น่านะได้รับผลกระทบจาก Profit Taking end week กันบ้าง

ส่วน JPY ก็เเข็งค่าขึ้นหลังจากที่ลุงโด้ประกาศกร้าวเดินหน้าท้าชนกับจีนอีกรอบ เรื่องของ Tik Tok กับอะไรอีกเรื่อง โดยที่สหรัฐถือคติบู๊ลิ้มว่า กำปั้นไครไหญ่ว่า เป็นฝ่ายถูก โดยบังคับให้ Tik Tok ขายให้กับ Microsoft ถ้าจะดำเนินกิจการในสหรัฐ

ส่วนเรื่องการประชุมกันเรื่องนโยบายอัดฉีดในสภาระหว่าง พรรคลาน้อย กับ พรรคช้างน้อย ยังตกลงกันไม่ได้ รอลุ้นอาทิตย์หน้า
———————————————————

UK says it’s confident of Brexit trade deal as EU changing tone

อันนี้ก็ไม่รู้ว่าท้ายสุดเเล้วจะจริงจังขนาดใหน ทาง Michael Gove told reporters in Portadown in the British province of Northern Ireland ว่าการเจรจา Brexit ที่ผ่านมามีความคืบหน้า คาดว่าน่าจะตกลงกันได้ โดยที่การเจรจาจะยาวไปจนถึง 2 ตุลาคม น่าจะเป็น เส้นตาย

ส่วนทาง the European Union ก็เห็นว่ามีท่าทีอ่อนลง โดยพยายามที่จะลอมชอม กับ UK เพื่อหาข้อยุติที่ยังเป็นประเด็นสำคัญ
———————————————————

สารพัดวิกฤติเขย่าโลก ทุบเศรษฐกิจทรุด ทำ ‘นักลงทุน’ หวาดผวา หอบ ‘เงินสด’ หา ‘ที่หลบภัย’ ดัน ‘ราคาทองคำ’ พุ่งสูงสุดเป็นประวัติการณ์

ไม่มีใครคาดคิดว่า ‘ราคาทองคำ’ ในไทย จะทะยานแตะระดับ 30,000 บาทต่อบาททองคำ และอยู่ระดับ 29,000-30,000 บาท แล้ว…อะไรคือ ‘ปัจจัย’ ของ ‘นิวไฮ’ ครั้งนี้?

คำตอบสั้นๆ ก่อนไล่ลำดับเรื่องราวก็คือ ‘ความกลัว’ ของ ‘นักลงทุน’

การมาเยือนของ “คลื่นโควิด-19 (COVID-19) ลูกที่ 2” ที่ถล่มไปทั่วโลก และความตึงเครียดที่เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ของ 2 มหาอำนาจทางเศรษฐกิจ ‘สหรัฐอเมริกา-จีน’ ทำให้ ‘นักลงทุน’ ขวัญผวา จนถึงขนาดรีบกรูกันไป “ซื้อทองคำ” ด้วยความมั่นใจว่า นี่คือ ‘ที่หลบภัย’ ที่จะสามารถเก็บรักษา ‘ความมั่งคั่ง’ ของพวกเขาเอาไว้ได้

หากเทียบตั้งแต่ต้นปี ‘ราคาทองคำ’ เพิ่มขึ้นกว่า 34%

โดยจากข้อมูลของ ‘สมาคมตลาดทองคำแห่งลอนดอน’ (London Bullion Market Association-LBMA) แค่วันที่ 30 กรกฎาคมเพียงวันเดียว ‘ทองคำ’ ก็มีการเปลี่ยน ‘ผู้ถือครอง’ มากถึง 89.36 ล้านออนซ์ มีมูลค่ารวมกว่า 1.74 แสนล้านดอลลาร์

และนับจากนั้นจนถึงวันที่ 3 สิงหาคม ระยะเวลา 5 วัน ก็มีการเปลี่ยน ‘ผู้ถือครอง’ กว่า 251 ล้านออนซ์ มูลค่ารวม 4.9 แสนล้านดอลลาร์

ปกติแล้วเป็นที่รู้กันว่า หากมี ‘ปัจจัย’ ให้น่าหวาดวิตก ก็จะมีการย้าย ‘เงิน’ จากธนาคารและตลาดหุ้น เข้าสู่ ‘โลหะมีค่า’ อย่าง ‘ทองคำ’

และครั้งนี้ก็เช่นกัน ความสับสนอลหม่านทางเศรษฐกิจในช่วงไม่กี่เดือนที่ผ่านมา ก็พิสูจน์ได้ว่า ‘ทองคำ’ คือ ‘ที่หลบภัย’ หรือ ‘สินทรัพย์ปลอดภัย’ (Safe Haven) ตัวเลือกที่ดีที่สุดในช่วงเวลาที่ไม่มีความมั่นคงและความไม่แน่นอนสูง

โดยวันที่ 3 และ 4 สิงหาคม ‘กองทุนเอสพีดีอาร์’ (SPDR) ซึ่งเป็นกองทุนประเภทหนึ่งใน ‘กองทุนอีทีเอฟ’ ได้ซื้อ ‘ทองคำ’ มาถือครองกว่า 15 ตัน รวมแล้วมีถึง 1,258 ตัน มากกว่า ‘เงินสำรอง’ ของธนาคารแห่งอังกฤษ (Bank of England) ถึง 4 เท่า

ทั้งหมดนั้นเก็บรักษาความปลอดภัยอยู่ที่ ‘ห้องนิรภัย’ ใน ‘ธนาคารเอชเอสบีซี’ (HSBC) ของ ‘ลอนดอน’

ซึ่งจากรายงานวิจัยของ ‘สภาทองคำโลก’ เห็นได้ว่า ‘กองทุนอีทีเอฟ’ ถือครอง ‘ทองคำ’ กว่า 3,800 ตัน มูลค่าประมาณ 2.4 แสนล้านดอลลาร์ ขณะที่ ‘รัฐบาลสหรัฐฯ’ ถือครอง ‘ทองคำสำรอง’ ทั้งหมด 8,130 ตัน กลายเป็น ‘ผู้ถือครอง’ ที่มีขนาดใหญ่ที่สุด

——————————————————————–

ช่วงเวลาที่ไม่มีความแน่นอนนี้ ถามว่า “ทำไม ‘พวกเขา’ ถึงมุ่งไปที่ ‘ทองคำ’…?”

ลองคิดดูว่า ในสภาวะที่ ‘อัตราดอกเบี้ย’ ต่ำเตี้ย หากอยากฝาก ‘เงินสด’ ไว้ในธนาคาร ก็แทบมองไม่เห็นกำไรเลย และก็มีความเป็นไปได้อีกว่า ธนาคารจะเรียกเก็บ ‘ค่าธรรมเนียม’ การดูแลจากคุณ

การแห่ ‘ซื้อทองคำ’ ไม่ว่าจะเป็น ‘ทองคำแท่งจริง’ ที่นักลงทุนเอเชียและแอฟริกานิยม หรือผ่าน ‘กองทุนอีทีเอฟ’ ที่นักลงทุนอเมริกาเหนือและยุโรปนิยม ก็เป็นตัวดันให้ ‘ราคาทองคำ’ สูงมากขึ้นไปอีกได้เรื่อยๆ เช่นกัน

——————————————————————-

เข้าสู่ประเด็นไฮท์ไลท์ หลายคนสงสัย “ราคาทองคำจะพุ่งสูงไปได้อีกแค่ไหน?”

จากรายงาน ‘สภาทองคำโลก’ พบว่า ‘ราคาทองคำ’ ได้ทำลายสถิติสูงสุดในเงื่อนไขดอลลาร์ไปแล้ว แต่หากเทียบ ‘เงินเฟ้อ’ มันคงไม่ได้มากเท่าระดับที่เคยเห็นในเดือนมกราคม 2523 ที่เป็นภาวะตกต่ำทางเศรษฐกิจ ก็ทะยานถึง 2,800 ดอลลาร์ต่อออนซ์

กลับมาปัจจุบัน จากการคาดการณ์ของ ‘ธนาคารแห่งอเมริกา’ (Bank of America) มีความเป็นไปได้ว่า ‘ราคาทองคำ’ อาจแตะถึงระดับ 3,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ในช่วงต้นปี 2565

และในปี 2568 ก็อาจทะยานถึง 15,000 ดอลลาร์ต่อออนซ์ก็เป็นได้

@@@@ โอ้ มายก๊อต 3000$ เชียวน้า หรือ จะไปเเตะ 15000$

เหมือนช่วงยุคเคาบอยสหรัฐ ช่วงตื่นทอง เเคเเคนน่าเลย ฮา….. แผนเเต่งงาน เลื่อนไปก่อน

Facebook Comments

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

This site uses Akismet to reduce spam. Learn how your comment data is processed.