ถ้าแก้12พฤติกรรมนี้ได้แล้วคุณจะไม่มีทางขาดทุน! ใครทำได้โครตเก่ง

ถ้าแก้12พฤติกรรมนี้ได้แล้วคุณจะไม่มีทางขาดทุน! ใครทำได้โครตเก่ง

อยากให้ลองเก็บไว้และทำchallengeคือแก้ไปทีละข้อในแต่ละอาทิตย์

ถ้าทำได้ถึงข้อไหนจะต้องไม่กลับไปทำอีก ไม่นั้นให้เริ่มข้อก่อนหน้าใหม่ ครั้งหน้าจะมาบอกรายละเอียดแก้ยังไง

Week1 ห้ามovertradeในทุกกรณี วางความเสี่ยงให้ต่ำ1-2%ต่อการเทรด
ข้อนี้ยากตรงเราต้องคุมความโลภในการอยากรวยไว
แต่มันจะไวถ้าผ่านเสต็ปนี้

Week2 ถึงจุดตัดขาดทุนstoploss ต้องstop ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ไม่มีอลุ่มอล่วยทุกกรณี
ข้อนี้ฝึกความตัดใจในการเสียเงินทุนให้เป็นส่วนนึง

Week3ยังไม่ถึงจุดทำกำไรtakeprofitห้ามออกก่อนและออกหลัง ในทุกกรณี
ฝึกความกลัวที่ราคาจะลงและฝึกความโลภที่เราอยากได้มากกว่านั้น

Week4ไม่ถึงหน้าเทรดตัวเองแผนตัวเองห้ามเทรดเด็ดขาดในทุกกรณีต่อให้จะเห็นโอกาสเท่าไรก็ตาม
ฝึกใจที่จะรอให้เป็น

Week5ถ้าขาดทุนติดๆไม่เอาคืน ห้ามอยากจะเอาคืนแบบเร่งรีบ คล้ายข้อ4

Week6ห้ามเปลี่ยนกลยุทย์ ใช้กลยุทย์ แผนการวิเคราะห์แบบเดียวให้มากกว่า3เดือนไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น ขาดทุน ก็ห้ามเปลี่ยน

Week 7ถึงจุดเข้าต้องเข้า ห้ามกลัว ถ้าลังเลแล้วกลัวให้ฝึกจนเข้าทุกครั้งที่ต้องเข้า
ฝึกความกลัวเพราะหลายคนจะกลัวตอนเสียติดๆจนขาดความมั่นใจ

Week8ไม่เทรดสวนเทรนในทุกกรณี ให้biasไปฝั่งเดียวตามเทรน ถ้าsidewayให้หาจุดกลับเทรดสองฝั่งได้

Week9เทรดแค่สินค้าเดียว เลือกสักอย่าง ถ้าทองก็ทองดูแต่ทอง อย่าสลับไปมา

Week10ไม่ฟังแผนของคนอื่นไม่ว่าคนนั้นจะพูดอะไรก็ตาม ไม่เปลี่ยนแผนกลางคัน
ฝึกความนิ่ง

Week11ได้กำไรมาอย่าเอาไปเสียเล่นๆเทรดบ้าๆเด็ดขาดรักษากำไรทุกเม็ด

Week12ทำทุกข้อให้ชำนาญ สม่ำเสมอ ไม่ต้องคิดถึงกำไรขาดทุนก่อน ข้อไหนไม่ผ่านแก้ให้ผ่าน

คนที่ขาดทุนเพราะคุณกำลังทำข้อใดข้อนึง ดูเหมือนง่าย

ทั้งหมดไม่ใช่ทุกอย่างของการเทรด แต่เป็นการฝึกพื้นฐานที่ดี ถ้าฝึกตรงนี้ได้ การจะเล่นท่ายากจะมีประโยชน์ ทำให้เราเข้าใจการเทรดอย่างแท้จริง

ใครทำได้ถือว่าผ่านในการเป็นเทรดเดอร์ที่ดี

เราจะลาออกไปเป็น Full Time Trader ดีไหม ?

ถ้าหากเพื่อนๆ เป็นนักลงทุนที่มีประสบการณ์ สามารถสร้างรายได้จากการเทรดได้สม่ำเสมอ และมีคำถามหนึ่งที่ติดอยู่ในใจคือ
“เราจะลาออกไปเป็น Full Time Trader ดีไหม ?”
นี่เป็นเรื่องใหญ่มาก การตัดสินใจดังกล่าว อาจเป็นจุดเปลี่ยนของชีวิตคุณไปตลอด
การลาออกจากงาน เพื่อมาเทรดเป็นอาชีพ จำเป็นต้องมีการวางแผนอย่างรอบคอบ และเตรียมรับมือกับผลที่อาจจะตามมา
ถึงแม้ว่าคุณจะเป็นนักลงทุนที่มีประสบการณ์สูง เคยมีผลงานเทรดที่ดี
แต่การผันตัวเองไปเป็น Full Time Trader นั้นมีจุดเปลี่ยนที่คุณต้องทำความเข้าใจ
1. ความกดดันที่เพิ่มขึ้น ?
คุณอาจเคยเทรดได้ดีในช่วงที่ผ่านมา แต่เมื่อคุณลาออกจากงานประจำ ความกดดันจะเพิ่มสูงขึ้น
เนื่องจากการเทรดนั้น กลายเป็นรายได้หลัก ของครอบครัวและลูกๆของคุณ
การรักษาวินัย การบริหารความเสี่ยง จึงต้องมีความเข้มงวดมากยิ่งขึ้น
นอกจากการกดดันตัวเอง สถานการณ์รอบข้างก็จะยิ่งกดดันคุณมากขึ้นโดยอัตโนมัติ
ซึ่งนั้นอาจกลายเป็นการสะสมความเครียด และมักจะส่งผลให้การตัดสินใจเทรดแต่ละครั้งของคุณแย่ลง
คุณอาจจะไม่สามารถตัดสินใจเทรดได้ดีเหมือนเมื่อก่อน เพราะความกดดันที่มากขึ้น
และอาจนำไปสู่ความกังวลเกี่ยวกับระบบเทรด ทั้งๆที่คุณเคยทดสอบมันมาเป็นอย่างดีแล้ว
คุณต้องถามตัวเองว่า…
คุณจะรับมือกับความกดดัน,ความเครียด ที่เพิ่มสูงขึ้นได้หรือไม่ ?
ชั่วโมงบินของคุณสูงพอ ที่รับมือกับความผันผวนของตลาดหรือไม่ ?
2. มันจะช่วยให้คุณมีเวลามากขึ้นจริงๆหรือ ?
การลาออกจากงานมาเทรด เพื่อหวังว่าจะมีเวลาว่างอยู่กับครอบครัวมากขึ้น
ความฝันถึง Passive Income นั้นอาจไม่ใช่เรื่องง่ายนัก
เพราะโดยส่วนใหญ่ “การเทรดเป็นอาชีพ” มันจะกลายเป็น Super Active (เทรดบ่อย) เสียมากกว่า
ซึ่งในส่วนนี้ มันขึ้นอยู่กับการออกแบบระบบเทรดของคุณ ที่จะเป็นตัวบ่งชี้ว่าคุณยังต้องทำงานหนักต่อไปหรือไม่
ระบบเทรดที่ดี มีขอบเขตเวลาอย่างชัดเจน อาจช่วยให้คุณใช้เวลาเทรดเพียงวันละ 10 นาที
แต่ระบบเทรดที่ไม่ดี ต้องเฝ้าหน้าจอทั้งวัน
นั้นจะเป็นฝันร้ายของคุณ
การลาออกจากงาน เพื่อมานั่งเฝ้าหน้าจอเทรดทั้งวัน
นี่ไม่ใช้เรื่องที่ฉลาดเท่าไหร่ เพราะทำให้เสียทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิต
เหมือนการหาเงินเก็บไว้ เพื่อรอไปรักษาตัวในโรงพยาบาล
คุณควรออกแบบการเทรดของคุณให้เป็นระบบ
มีช่วงเวลาเทรดที่ชัดเจน
การกำหนด Stop Loss,Take Profit อย่างชัดเจน เป็นส่วนช่วยให้เมื่อเปิดคำสั่งซื้อแล้ว ไม่ต้องไปเฝ้าหน้าจอบ่อยๆ
คุณต้องถามตัวเองว่า…
ระบบเทรดของคุณ ต้องใช้เวลาเฝ้าจอนานขนาดไหน มันทำให้คุณมีอิสระทางเวลาจริงๆไหม ?
คุณมีตารางเวลาการเทรดในแต่ละวันชัดเจนแล้วหรือไม่ ?
3. คุณมีระบบเทรดที่ไว้ใจได้จริงๆไหม ?
คุณได้ทดสอบสถิติของระบบเทรดของคุณมาดีพอแล้วหรือยัง
หากคุณจะลาออกจากงานประจำเพื่อมาเป็น Full Time Trader จริงๆ
คุณควรจะมีการทดสอบสถิติระบบเทรดของคุณ
*ย้อนหลังอย่างน้อย 5 ปีขึ้นไป
เพื่อที่มันจะพอเป็นตัวที่ชี้วัดได้ว่า ระบบเทรดของคุณมีความเสถียร มีประสิทธิภาพมากพอ
ที่จะรับมือกับความผันผวนของตลาดที่อาจเกิดขึ้นได้ในอนาคต
ซึ่งคุณต้องเข้าใจระบบเทรดนั้นเป็นอย่างดี สิ่งสำคัญคือ คุณต้องสามารถรักษาวินัยทำตามระบบ
และสามารถทำตามแผนการบริหารความเสี่ยงของระบบเทรดนั้น ได้ตลอดรอดฝั่ง
คุณสามารถสรุปค่าสถิติระบบเทรดของคุณออกมาได้หรือไม่
คุณจะมีกำไรเฉลี่ยต่อเดือน/ต่อปีเท่าไหร่ ?
คุณจะมีโอกาสขาดทุนสะสมสูงสุดเท่าไหร่ (Maximal Drawdown) ?
4. คุณสามารถควบคุมอารมณ์ ให้อยู่เหนือตลาดได้ไหม ?
ถึงแม้ว่าคุณจะมีระบบเทรดที่ดีมาก แต่ทุกระบบเทรดย่อมมีช่วงเวลา Draw-Down Cycle (ช่วงขาดทุน)
ที่ผ่านมาคุณรู้สึกอย่างไร เมื่อเจอสถานการณ์ขาดทุนสะสม
คุณทราบหรือไม่ ?
แม้แต่นักลงทุนมืออาชีพ เมื่อเจอสถานการณ์ Drawdown ต่อเนื่อง ก็สติแตกได้!
ส่งผลให้ไม่สามารถควบคุมอารมณ์ และพยายามที่จะแก้แค้นตลาด
ซึ่งนำไปสู่การ Over trade ไม่สนใจระบบ ไม่สนใจการบริหารความเสี่ยง แล้วจุดจบก็คือหายนะ
คุณต้องถามตัวเองว่า…
หากเจอสถานการณ์ขาดทุนสะสม คุณจะยังสามารถควบคุมอารมณ์ได้หรือไม่ ?
คุณมีเงินเก็บสำรองมากพอ เพื่อจะรอผ่านพ้นช่วง Drawdown Cycle ได้หรือไม่ ?
คุณจะยังสามารถรักษาวินัยทำตามระบบ บริหารความเสี่ยงตามแผนได้หรือไม่ ?
การตัดสินใจเป็น Full Time Trader
เรื่องนี้คุณต้องตัดสินใจอย่างรอบคอบ
เพราะไม่มีใครสามารถตอบคำถามนี้แทนคุณได้
หากคุณกำลังตัดสินใจเรื่องนี้อยู่ ลองตรวจสอบความพร้อมของตัวเองจาก 4 คำถามด้านบน
ถ้าจะลาออกจากงานประจำจริงๆ คุณต้องมีความพร้อม และควรที่จะตอบคำถามด้านบนได้อย่างชัดเจนและหนักแน่น
” อย่าเก็บไข่ไว้ในตะกร้าใบเดียว “
การนำเงินทั้งหมดมาเทรดนั้น ไม่ใช่ความคิดที่ฉลาด
คุณควรวางแผนกระจายความเสี่ยงอย่างรอบคอบ
ทั้งเงินทุนสำรอง,ค่าใช้จ่ายครอบครัว,ค่ารักษาพยาบาล
หรืออาจกระจายเงินลงทุนไปยังสินทรัพย์กลุ่มอื่นด้วย
อาชีพ Full Time Trader ไม่ได้เหมาะกับทุกคน คุณต้องเป็นคนมีความรับผิดชอบสูงมาก มีวินัยที่จะอดทนทำตามระบบ ไปตลอดเส้นทาง
ระหว่างเส้นทางย่อมมีบาดแผล แต่ถ้าคุณมีความพยายามมากพอ
ปลายทางคือ “อิสรภาพทางการเงินอย่างแท้จริง”

จะบอกความลับ อย่างนึงในตลาดให้นะครับ

จะบอกความลับ อย่างนึงในตลาดให้นะครับ
.
.
.
.
.
ความลับคือ ตลาดนี้ ไม่มีความลับ
หรือเทคนิคพิเศษโคตรเทพ ที่ไม่มีคนรู้ หรือใช้กันแค่บางกลุ่มเท่านั้น
จริงๆ แล้วทุกเทคนิคในตลาดนี้
มันสอดคล้องกัน
พูดง่ายๆ ว่า..
ต่างวิธีการ แต่เป้าหมายคือจุดเดียวกัน
อยู่ที่มุมมองของคนเอาเทคนิคมาใช้
เช่นคุณจะเดินทางจาก ภูเก็ตไปกรุงเทพฯ
– รถยนต์
– รถจักรยานยนต์
– เครื่องบิน
– รถไฟ
ต่างวิธีการ ต่างกัน
แต่จุดหมายคือจัดเดียวกัน
แต่มีปัจจัยอย่างอื่น
เช่นในตลาดนี้
คือ ความยาก ความง่าย ความเข้าใจในการศึกษา และนำมาใช้
และศาสตร์ทาง Elliott wave นั้นยากที่สุด ทำให้มุมมองของคนที่ไม่มีความรู้ด้านนี้ เข้าใจว่า มันจะเป็นเทคนิคที่ดีที่สุด
ให้ดูภาพประกอบ ข้างบน
4 ช่อง มีเทคนิค 4 เทคนิค
– Elliott Wave
– Price Action
– Harmonic pattern
– Fibonacci Retracement
มองต่างกันคนละภาพ แต่จุดหมายคือที่เดียวกัน
แต่เงื่อนไขต่างกัน
ถามว่าผมถนัดอะไรที่สุด
ผมถนัดทุกเทคนิค
แต่จะเลี่ยง Elliott Wave
เพื่อลดขั้นตอน และลดเวลาการวิเคราะห์ครับ
ถามว่าต้องเรียนรู้ทุกอย่างไหม
สำหรับผมแนะนำให้ศึกษา
(พื้นฐาน)ทุกเทคนิค แล้วลองดูจริต ตัวเองว่าชอบแบบไหน
และศึกษา เทคนิคนั้นให้เราถ่องแท้
ส่วนระบบที่ผมเทรด คือระบบ
Multiple Factor หรือการเทรดหลายปัจจัย เพื่อนำมาหา จุดทับซ้อนกันจองแต่ละเทคนิค
ยกตัวอย่างเช่น..
คนนึง เทรด Demand supply
คนนึง เทรด Fibonacci
คนนึงเทรด Harmonic
คนนึงเทรด Chart Pattern
ผมเนี่ย เอาทั้ง 4 คนมารวมกัน
รวมในที่นี้ คือเอามุมมองของคนทั้ง 4 ที่รอในจุดเดียวกัน
ในเมื่อเทคนิคมันสอดคล้องกัน
เราก็เลย นำมุมมองของทุกคนมาเทรด เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ และความน่าจะเป็นสูงสุด
แต่… ไม่ได้แปลว่าจะ 100%
เพราะไม่มีเทคนิคไหนในตลาดนี้ จะแม่นยำ 100%
เราจึงมีสิ่งที่เรียกว่า Money management เข้ามา
mm เข้ามาทำหน้าที่
ในเวลาที่เรา “มองตลาดพลาดไป”
เพื่อให้เราไม่สูญเสียเงินทุนทั้งหมดไป
แม้ว่า เราจะเทรด 10 ครั้ง
แต่ถ้าเรามี Money management ที่ดี เราชนะแค่ 4 ครั้ง แพ้ 6 ครั้ง
เราก็ได้กำไร และอยู่รอดในระยะยาว
ผมอยากให้ทุกคนมอง Forex แบบ long term หรือการเทรดระยะยาว
ผลลัพธ์ไม่ได้วัดกันที่ ไม่กี่ออเดอร์
แล้วคุณจะเทรดแบบไม่เครียดเลย
คุณสามารถ Stoploss ได้
แล้วยังรู้สึกเฉยๆ เพราะคุณรู้ว่ามันจะกลับมาหาคุณในที่สุด (ระยะยาว)
เวลาถูกทางคุณก็ไม่ดีใจอะไร เพราะคุณรู้ว่ามันเป็นไปตามแผน
ผลลัพธ์ที่ได้มา ไม่ได้มาเพราะโชคช่วย !

วิธีการตั้งค่าการแจ้งเตือนมือถือ MT4 / MT5 ไปยังโทรศัพท์ของคุณ

วิธีการตั้งค่าการแจ้งเตือนมือถือ MT4 / MT5 ไปยังโทรศัพท์ของคุณ

จะเกิดอะไรขึ้นถ้าคุณมีวิธีหยุดนั่งอยู่หน้าชาร์ตเป็นเวลาหลายชั่วโมงเพื่อยุติการเทรดเพื่อการค้าลดการตัดสินใจที่ขับเคลื่อนด้วยอารมณ์ของคุณและช่วยจัดการการเทรดของคุณ? คุณจะทำไหม

การสร้างการแจ้งเตือนบนมือถือ MT4 ไปยังโทรศัพท์มือถือของคุณเพื่อให้คุณได้รับ “การแจ้งเตือนแบบพุช” โดยใช้แพลตฟอร์ม MT4, MT5 หรือ cTrader ของคุณสามารถตั้งค่าได้ในไม่กี่นาทีและใช้กับสถานการณ์ต่างๆมากมายเพื่อประหยัดเวลาและทำให้การซื้อขายของคุณดีขึ้น

แทนที่จะนั่งจ้องที่แผนภูมิของคุณคุณจำเป็นต้องจัดการการค้าของคุณและหวังว่าราคาจะเคลื่อนไหวไปทางใดทางหนึ่งหรือนั่งดูราคาที่ขึ้นลง (ฉันรู้ว่าคุณทำมัน!) รอให้ราคาไปที่ระดับเพื่อให้ การค้าคุณสามารถตั้งค่าการแจ้งเตือนไปยังโทรศัพท์มือถือของคุณได้โดยตรง

คุณสามารถรับการแจ้งเตือนด้วยการแจ้งเตือนบนมือถือ MT4 จากนั้นดำเนินการตามความเหมาะสมบนแผนภูมิมือถือของคุณ คุณสามารถข้ามไปยังแพลตฟอร์มการซื้อขายบนมือถือของคุณและย้ายจุดแวะตรวจสอบแผนภูมิของคุณหรือทำการค้าที่คุณรอให้ก่อตัวขึ้น แต่ระหว่างนั้นคุณสามารถทำสิ่งอื่น ๆ ที่มีประสิทธิผลมากขึ้นตามเวลาของคุณ

สองตัวอย่างหลักที่คุณสามารถใช้กลยุทธ์นี้ ได้แก่

เมื่อราคาเข้าสู่ระดับการเคลื่อนไหวของราคาที่คุณต้องการจัดการการซื้อขายตามที่ระบุไว้ในแผนการซื้อขายล่วงหน้าของคุณ ตัวอย่างเช่นคุณอาจตั้งนาฬิกาปลุกเพื่อส่งข้อความเพื่อที่คุณจะได้ย้ายจุดแวะไปที่จุดคุ้มทุนและป้องกันเงินสดของคุณ
คุณยังสามารถใช้สิ่งนี้เพื่อให้แน่ใจว่าคุณจะไม่พลาดโอกาสในการซื้อขายใด ๆ อย่างไร? ด้วยการตั้งค่าการเตือนราคาที่ระดับหลัก ๆ ในตลาดคุณกำลังรอให้ราคาขยับเข้ามาเพื่อที่คุณจะได้ทำการซื้อขาย
 

ฉันจะแสดงวิธีตั้งค่าการแจ้งเตือนบนมือถือเหล่านี้สำหรับ MT4, MT5 และ cTrader

หากคุณไม่แน่ใจว่าจะตั้งค่าระดับการเคลื่อนไหวของราคาของคุณอย่างไรและสร้างกิจวัตรที่ลดชั่วโมงการซื้อขายของคุณในขณะที่มองหาการซื้อขาย A + อ่านบทเรียน

เราจะปรับใจยังไงดี เมื่อเทรดเสียครั้งใหญ่

เราจะปรับใจยังไงดี เมื่อเทรดเสียครั้งใหญ่
เราจะปรับใจยังไงดี เมื่อเทรดเสียครั้งใหญ่
ลูกเพจ ลูกศิษย์ และเพื่อนๆ โทรมาปรึกษาผมบ่อยๆเวลาที่เทรดเสียหนักๆ ว่าควรทำอย่างไรดี?💸😧

Continue reading “เราจะปรับใจยังไงดี เมื่อเทรดเสียครั้งใหญ่”

ขายหมูดีกว่าติดดอย เทคนิคการ Cut loss เป็นเทคนิคที่ได้ผลเสมอ

ขายหมูดีกว่าติดดอย เทคนิคการ Cut loss เป็นเทคนิคที่ได้ผลเสมอ
ขายหมูดีกว่าติดดอย เทคนิคการ Cut loss เป็นเทคนิคที่ได้ผลเสมอ

#ขายหมูดีกว่าติดดอย เทคนิคการ Cut loss เป็นเทคนิคที่ได้ผลเสมอ การเทรดก็เหมือนเกมหนึ่งที่เราสามารถเลือกเล่นได้เอง และ ควรเลือกเล่นในเกมที่เราถนัด และ ความเสี่ยงต่ำ โดยประสบการณ์ส่วนตัวที่ใช้งานบ่อยๆและมักจะสามารถปั้นพอร์ตเล็กๆให้โตได้ง่าย จะมีดังนี้
1. เลือกเทรดยาว เพราะความเสี่ยงต่ำ โอกาสทำกำไรได้มาก เทรดง่าย ไม่กดดัน ไม่เครียด ไม่เฝ้าหน้าจอ
2. เน้นมองภาพรวมที่ไทม์เฟรมใหญ่ เช่น W1 หรือ MN จะได้เห็นราคาที่แข็งแรง มีพลัง ไม่ค่อยอ่อนไหว
3. ดู Overbought หรือ Oversold เป็นตัวช่วย โดยเน้นดูที่ไทม์เฟรมใหญ่ เพื่อให้เห็นทิศทางของราคาที่แข็งแรงจริงๆ เน้นดูเมื่อราคาวิ่งออกจาก Overbought หรือ Oversold เท่านั้น โอกาสพลาดจะต่ำมาก เพราะเมื่อราคาเข้า Overbought หรือ Oversold ยังไงๆมันก็ต้องออกมา
3. ใช้ไทม์เฟรมเล็กในการเปิดออเดอร์เช่น H1 หรือ M30 โดยเน้นรอรอบให้ตรงกับ ทิศทางเป้าหมาย เช่น เป้าหมาย Sell ที่ H1 หรือ M30 ต้องรอจนกว่าราคาวิ่งไปทำ Swing High ตามรอบของมันแล้วหาจังหวะเปิด Sell
เราจะได้จุดที่เปิดออเดอร์แล้วราคาวิ่งไปได้ทันที เหมาะสมอย่างยิ่งกับพอร์ตเงินทุนน้อยๆ ในหลายๆครั้งราคาอาจทำ New High ที่สูงกว่าเดิม เราก็ได้ออเดอร์ Sell ที่ได้ราคาดียิ่งขึ้น
4. ใช้กฎของ Risk and Reward ratio เป็นหลักเพื่อบริหารความเสี่ยง พยายามให้สัดส่วนของการทำกำไรมากกว่าการขาดทุน อย่ากังวลกับจำนวนออเดอร์ที่ขาดทุน เพราะเราสามารถขาดทุนน้อยๆได้หลายๆครั้ง หากเราได้กำไรแค่ครั้งเดียวก็คุ้มค่าแล้ว
Risk and Reward ยังช่วยไม่ให้โดยลากติดดอย จะทำให้การเทรดมีความกดดันต่ำหรือต่ำมากๆ ไม่เครียด มีสติในการควบคุมเกมการเทรดได้อย่างมีประสิทธิภาพ

Forex ควรเทรดเวลาไหนดี ?

Forex ควรเทรดเวลาไหนดี ?
หนึ่งในความผิดพลาดที่ผมเห็นในเทรดเดอร์มือใหม่นั่นคือคิดว่า สามารถเทรด Forex ได้ทุกเวลา ซึ่งคนเหล่านี้ก็มีความรู้เหมือนที่เรารู้กันนั่นแหละครับ ว่าตลาด Forex นั้นเปิด 24 ชั่วโมง / 5 วันต่อสัปดาห์ (จันทร์ถึงศุกร์)
โดยในหนึ่งวันนั้น ตลาด Forex จะแบ่งช่วงเวลาซื้อขายเป็น 4 ช่วง เริ่มจากฝั่งเอเชีย (ตลาดซิดนีย์และโตเกียว) ต่อมาจะเป็นตลาดยุโรปที่ลอนดอนและปิดท้ายด้วยตลาดนิวยอร์กในสหรัฐอเมริกา
การทับซ้อนของโซนเวลาดังกล่าวในช่วงตลาดเปิดนั้น มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะมี Volume สูง นั่นหมายถึงการแลกเปลี่ยนที่มากขึ้น ซึ่งการเทรดในช่วงเวลาดังกล่าว จะทำให้ “ค่าสเปรด” นั้นต่ำกว่าช่วงอื่นๆ
เอาล่ะ… เรารู้แล้วว่าควรเทรดเวลาไหน งั้นต่อไปมาดูกันดีกว่าว่า เราไม่ควรเทรดในช่วงเวลาใดบ้าง
1.ช่วงที่มีข่าวรุนแรงที่กระทบต่อคู่เงิน (ทั้งก่อนข่าว และหลังข่าว)
– ก่อนเทรดทุกครั้ง ควรเช็คตารางข่าวใน Forexfactory.com ด้วยนะครับ ว่าคู่เงินที่เราจะเทรดนั้น มีข่าวมาในกระทบในช่วงเวลาที่เราเข้า Order ไหม เนื่องจากช่วงที่มีความผันผวน
จะทำให้ค่าสเปรดนั้นถ่างออกมาก ทำให้เทรดเดอร์เสียเปรียบในการเทรดช่วงเวลาดังกล่าว ยกตัวอย่างช่วงนี้ ประธานาธิบดีทรัมป์ออกมาพูดถึงตัวเลขผู้ป่วยโควิด หรือช่วงประกาศตัวเลขสำคัญทางเศรษฐกิจ ผมเคยทองเห็นทองคำสเปรดถ่างเกือบ 10-20 pips ซึ่งถ้าเราเทรดช่วงนั้น แค่กดเปิดออเดอร์ก็ขาดทุนกระจายแล้วครับ
2. ช่วงที่เป็นวันหยุดของธนาคาร
– เราควรเช็คด้วยนะครับ ว่าวันที่เราเทรดนั้น ตรงกับวันหยุดของธนาคารหรือไม่ เพราะจะมีสภาพคล่องต่ำ ส่งผลให้ค่าสเปรดนั้นสูงขึ้น รวมถึงราคาก็วิ่งในกรอบแคบด้วยครับ
3. ช่วงที่ตลาดใกล้ปิด (ประมาณตี 4 ของไทย)
– เป็นช่วงที่มี volume น้อยที่สุด เนื่องจากใกล้กับช่วงเวลาปิดของตลาดนิวยอร์คครับ หากหลีกเลี่ยงการเทรดในช่วงนี้ได้จะดีมาก เพราะสเปรดก็จะสูงกว่าช่วงเวลาปกติ
จะเห็นว่าปัจจัยที่สำคัญ ไม่ว่าจะเทรดช่วงเวลาไหนนั่นคือเรื่องของสเปรด

เคยมั้ยครับ? เทรดเดโม่อย่างเทพ หลับตากดยังฟ้า แต่พอมาเทรดพอร์ตจริง อ้าวเฮ้ย ไม่เหมือนที่คุยกันไว้นี่หว่า…

โบนัส $30
โบนัส $30

เคยมั้ยครับ? เทรดเดโม่อย่างเทพ หลับตากดยังฟ้า แต่พอมาเทรดพอร์ตจริง อ้าวเฮ้ย ไม่เหมือนที่คุยกันไว้นี่หว่า…

วันนี้เราจะมาคุยกันถึงเรื่อง ทำไมเทรดพอร์ตเดโม่ถึงไม่เหมือนการเทรดในพอร์ตจริง? และเราควรเริ่มต้นฝึกเทรดด้วยพอร์ตแบบไหนดี? กันครับ

ในเชิงจิตวิทยา อย่างที่ทราบกัน เทรดพอร์ตเดโม่นั้นไม่เหมือนเทรดพอร์ตจริงแน่นอน เพราะเงินก็เงินปลอม ไม่ได้เสียเงินจริงนี่นา เสียทรงก็กล้าคัท ได้กำไรก็กล้ารัน ไม้ค้างก็นอนหลับสบาย บริหารความเสี่ยงแบบไม่จริงจัง เรียกได้ว่า “จิตวิทยายังไม่ทำงาน” การเป็นเทพเดโม่นั้น “เราไม่ได้ฝึกเรียนรู้ และควบคุมอารมณ์ในการเทรดของเราเลย”

ดังนั้น ผมจึงแนะนำนักเรียนอยู่เสมอว่า “ให้เริ่มต้นเทรดจากพอร์ตจริง” พอร์ตเล็กๆ ไม้เล็กๆ ก็ยังดี แล้วเราจะเก่งขึ้นได้เร็วกว่าเทรดพอร์ตเดโม่แน่นอน มือใหม่คนไหนอยากทดลองเทรดพอร์ตจริง ตอนนี้ทางโบรค Windsor เค้ามีโบนัสให้ไปลองเทรดกันฟรีๆ $30 ให้ลองเอาไปเทรดกันด้วยนะครับ กดลิงค์นี้เพื่อเปิดพอร์ตได้เลยครับ >>https://bit.ly/2PltXh8

ในส่วนของตัวบัญชีเอง และความสมจริง พอร์ตเดโม่ก็มีความแตกต่างจากพอร์ตจริงหลายอย่าง ดังนี้

1. บัญชีจริง(Live) และบัญชีเดโม่(Demo) นั้นใช้เซิร์ฟเวอรคนละเซิร์ฟเวอร์กัน ดังนั้นกราฟราคาจึงต่างกันเล็กน้อย

2. ตลาดForexนั้นมีการแกว่งตัวสูง ดังนั้นในการเทรดจริง จะมีสิ่งที่เรียกว่าSlippage หรือความแตกต่างระหว่างราคาร้องขอ(Requested Price)และราคาที่ดำเนินการจริง(Executed Price) ในสภาวะผันผวน โดยราคาจะแกว่งผ่านจุดที่เราตั้งไปไม่แมทช์ตรงเป๊ะๆ ซึ่งเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไมได้ แต่ในพอร์ตเดโม่นั้นไม่มีSlippage

3. บางโบรคเกอร์จะมี Leverage ให้เลือกหลายแบบในบัญชีจริงตามเงินที่ฝาก แต่ในบัญชีเดโม่ จะให้Leverageเท่ากันหมด 1:500

ดังนั้น การฝึกเทรดให้มีประสิทธิภาพที่สุด คือการเทรด “พอร์ตจริง” ซึ่งมี “เงื่อนไข และ สภาวะการเทรดที่สมจริง” ได้เรียนรู้อารมณ์ขณะเทรด และฝึกจิตวิตยาการเทรดไปพร้อมๆกันอีกด้วย ซึ่งสิ่งนี้คือหัวใจของการเทรดฟอเร็กซ์ให้เก่งเลยครับ

มือใหม่คนไหนยังกล้าๆกลัวแต่อยากลองลงสนามจริง อยากทดลองเทรดพอร์ตจริง ค่าเสปซ(Spreads)จริง ค่าคอมมิชชั่น(Commission)จริง ได้ลงมือเทรดจริง หรือมือเก่าแต่อยากทดลองใช้บริการดูโดยไม่มีความเสี่ยง ตอนนี้ทางโบรคWindsor Brokers เค้ามีโบนัสให้ไปลองเทรดกันฟรีๆ $30 ให้ลองเอาไปเทรดกันด้วยนะครับ กดลิงค์นี้เพื่อเปิดพอร์ตได้เลยครับ >>https://bit.ly/2PltXh8  และแน่นอน ด้วยความที่เป็นพอร์ตจริง ถ้าเทรดได้กำไรก็ถอนได้จริงด้วยนะครับ แล้วเราจะมามัวเทรดเดโม่กันอยู่ทำไม จริงมั้ยครับ?

เงื่อนไขรับโบนัส
1. เปิดบัญชี
2. ส่งเอกสารบัตรประชาชนด้านหน้า
3. รอดำเนินการภายใน 1-3 วันทำการ
เงื่อนไขถอนกำไรจากโบนัส
1. เทรดมากกว่า 0.50 ล็อต
2. เปิดเทรดมากกว่า 10 ออเดอร์
3. กำไรมากกว่า $30 ขึ้นไป

โบนัส $30
โบนัส $30

การประชุม เฟด(FED) คืออะไร??

การประชุม เฟด(FED) คืออะไร?? 🇺🇸💵🧓🏻🏦

หากคุณเทรดคู่สกุลเงินที่มี USD ในคู่สกุลเงิน เช่น EURUSD, USDJPY, XAUUSD, AUDUSD เป็นต้น หนึ่งในข่าวสำคัญที่คุณต้องไม่พลาดคือ การประชุมเฟด
.
การประชุมเฟดคืออะไร ทำไมคุณต้องให้ความสนใจและส่งผลกระทบอย่างไร เรามาดูกันครับ
.
การประชุมเฟดคือ
การประชุมของคณะกรรมการซื้อขายหลักทรัพย์รัฐบาลกลาง (Federal Open Market Committee – FOMC) ซึ่ง FOMC เป็นองค์กรที่มีอำนาจในกำหนดนโยบายการเงินของเฟดหรือธนาคารกลางของสหรัฐฯ (Federal Reserve System)
.
FOMC จัดการประชุมปีละแปดครั้งเพื่อสรุปภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐฯ และกำหนดนโยบายการเงิน FOMC
.
ทำไมเทรดเดอร์ต้องให้ความสนใจ
ด้วยการซื้อขายบนโลกใบนี้เกินครึ่งอยู่ในรูปสกุลเงิน USD และ USD ยังเป็นสกุลเงินสำรองของโลกทำให้การประชุมเฟดไม่ได้ส่งผลกระทบแค่เพียงสหรัฐฯ แต่ยังกระทบกับประเทศคู่ค้าของสหรัฐฯ รวมทั้งประเทศที่ใช้ USD เป็นสกุลเงินหลักอีกด้วย
..
หากอัตราดอกเบี้ยนโยบายขึ้น
จะทำให้ USD ดูน่าลงทุนขึ้น USD อาจแข็งค่าขึ้น
– Gold ราคาตกลง
– คู่สกุลเงินอย่าง EUR/USD จะตกลงเพราะ EUR/USD คือคุณซื้อ EUR แต่ขาย USD เมื่อ USD แข็งค่ากว่า EUR จะทำให้ EUR/USD ราคาตกลง

– คู่สกุลเงินอย่าง USD/JPY จะขึ้นเพราะ USD/JPY คือคุณซื้อ USD แต่ขาย JPY เมื่อ USD แข็งค่ากว่า JPY จะทำให้ USD/JPY ราคาเพิ่มขึ้น
.
หากอัตราดอกเบี้ยนโยบายปรับลง
จะทำให้ USD ดูน่าลงทุนน้อยลง USD อาจอ่อนค่าลง
– Gold ราคาเพิ่มขึ้น
.
หากอัตราดอกเบี้ยนโยบายไม่เปลี่ยนแปลง
เทรดเดอร์ต้องจับตาดูรายงาน FOMC ที่ออกหลังการประกาศอัตราดอกเบี้ยนโยบายเพื่อดูแนวโน้มว่าทิศทางเงินเฟ้อจะไปทางสายเหยี่ยวที่กังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อ (ขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย) หรือสายพิราบที่ไม่กังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อ (ลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย)
.
ทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับการเทรดเดอร์ คือ หลีกเลี่ยงการเทรดคู่สกุลเงินที่มี USD ประกอบในช่วงเวลาดังกล่าว เพราะความเสี่ยงที่จะขาดทุนมีสูงมาก

เวลา เปิด-ปิด ของตลาด Forex : Trading Session

เวลา เปิด-ปิด ของตลาด Forex : Trading Session
เวลา เปิด-ปิด ของตลาด Forex : Trading Session

เวลา เปิด-ปิด ของตลาด Forex : Trading Session
รายละเอียดดังนี้
.
เวลาเปิดปิดตลาด ‘ออสเตรเลีย’ : 05.00 – 13.00 น.
เวลาเปิดปิดตลาด ‘ญี่ปุ่น’ : 06.00 – 14.00 น.
เวลาเปิดปิดตลาด ‘สวิตเซอร์แลนด์’ : 13.00 – 21.00 น.
เวลาเปิดปิดตลาด ‘ยุโรป’ : 14.00 – 23.00 น.
เวลาเปิดปิดตลาด ‘ลอนดอน’ : 15.00 – 23.00 น.
เวลาเปิดปิดตลาด ‘อเมริกา, แคนาดา’ : 19.00 – 03.00 น.

(ถ้าเข้าสู่ช่วงฤดูหนาวให้เราเพิ่มไปอีก 1 ชม.)❄️
_______________________

ผมจะมาพูดเรื่องของการ 
Overlap ของเวลาเปิดปิดตลาด Forex

เวลาที่ควรเทรด Forex คือช่วงเวลาที่ตลาดมีสภาพคล่องสูง และช่วงเวลาดังกล่าวคือช่วงที่มีการ Overlap กันของแต่ละตลาดนั่นเอง หรือเป็น ช่วงที่มีตลาด Forex เปิดพร้อมกันมากที่สุด และต่างก็เป็นตลาดใหญ่ ได้แก่ Europe, London และ USA ซึ่งจะเห็นตามภาพด้านล่างว่าคือช่วงประมาณ 14.00 – 23.00 น.
.
ช่วงนี้มักเป็นช่วงที่มีผู้เล่นคึกคักมากที่สุด เหตุผลที่ผู้เล่นรายใหญ่ รวมถึงกลุ่ม Institutional Investor นิยมเปิดสถานะในช่วงเวลานี้ เนื่องจากพวกเขาจำเป็นต้องซื้อขายด้วยสถานะการเทรดที่ใหญ่มาก เพราะการเข้าเทรด Lot ใหญ่ๆ ในช่วงที่เวลาที่ตลาด Forex ส่วนใหญ่ปิดทำการ จะส่งผลเสียใหญ่ๆ 2 ประการ

– หากเป็นกลุ่มนักเก็งกำไร จะเท่ากับเปิดเผยสถานะอย่างชัดเจน เพราะการซื้อขายด้วย Lot ขนาดใหญ่ในตลาดที่มีสภาพคล่องต่ำ มีโอกาสที่จะดันราคาให้เคลื่อนไหวอย่างผิดปกติ
ผลจากการที่สภาพคล่องต่ำ มีแนวโน้มที่จะได้รับต้นทุนการซื้อขายที่แพงมากๆ อีกด้วย

– ถ้าไม่มีคนรับซื้อที่มากพอ ราคาจะค่อยๆ ปรับตัวขึ้นไปสู่จุดที่มีคนรับซื้อ ต้นทุนการเทรดจะสูงขึ้นเรื่อยๆ ตามขนาดของ Lot ที่ใหญ่ขึ้น (เป็นไปตามกลไกราคา-อุปสงค์และอุปทาน
.
ช่วงไหนไม่ควรเทรด
แน่นอนว่า ตรงกันข้ามกับช่วงเวลาที่ควรเทรด Forex โดยช่วงที่ไม่ควรเทรดจะเป็นช่วงที่รอยต่อเวลาที่ตลาด Forex สหรัฐฯ กำลังจะปิด ไปจนถึงครึ่งแรกของ Session ออสเตรเลีย ซึ่งเวลาจะอยู่ประมาณ 01.00 – 7.00 น. โดยตลาดในช่วงนี้เป็นตลาดที่มีสภาพคล่องต่ำมาก